Blog

ถ้าจะให้นึกถึงคำศัพท์ภาษาอังกฤษสักคำที่ใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน คำว่า ‘OK’ คงเป็นคำแรกที่หลายคนนึกออก เพราะเป็นคำที่กระชับและมีน้ำหนักเป็นกลางที่สุดในการสื่อสารให้คู่สนทนาทราบว่าเราตกลง เห็นด้วยหรือยินยอม แต่มีใครพอจะทราบไหมว่า OK ย่อมาจากอะไร? และที่มาของคำสั้น ๆ แต่ใช้ได้ตลอดคำนี้เป็นมาอย่างไร? ถ้าใครยังไม่ทราบแล้วล่ะก็วันนี้เราจะมาเล่าถึงประวัติที่มาของคำนี้ให้ฟังกันเลย ‘โอเค’ ไหม? 'OK' ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 1839 ถึงแม้จะมีหลากหลายทฤษฎีของที่มาคำว่า ‘OK’ แต่ที่มีหลักฐานบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรนั้นปรากฏขึ้นครั้งแรกบนบทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ Boston Morning Post ในประเทศสหรัฐอเมริกาฉบับวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1839 ‘OK’ ถูกใช้เป็นมุกตลกของคำว่า All Correct ที่สะกดผิดเป็น Oll Korrect ทำให้มีคำย่อเป็น OK อย่างที่เราเห็นกัน นั่นเป็นครั้งแรกที่ชาวอเมริกันรู้จักคำว่า OK...

ทุกวันนี้โลกของเราเชื่อมต่อถึงกันมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพูดถึงธุรกิจ นั่นหมายถึงการมีปฏิสัมพันธ์ข้ามวัฒนธรรมระหว่างเพื่อนร่วมงาน คู่ค้า และองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพบปะกันในชีวิตจริงหรือออนไลน์ระหว่างประเทศหรือในประเทศ โอกาสที่คุณจะทำงานกับผู้คนที่มาจากภูมิหลังที่หลากหลายก็มีมากขึ้น และบริษัทของคุณซึ่งกำลังมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจก็มีมากขึ้นเช่นเดียวกันน่าเสียดายที่แม้ว่าผู้นำในองค์กรจำนวนมากจะตระหนักถึงความจำเป็นในความสามารถเชิงวัฒนธรรม (cultural competence) ในองค์กรของตน แต่พวกเขากลับไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้ระหว่างวัฒนธรรมเสมอไป จากงานวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ Economist Intelligence Unit ได้สำรวจผู้บริหารกว่า 500 คนจากทั่วโลกเกี่ยวกับธุรกิจระหว่างประเทศในปัจจุบันและแผนการของพวกเขาสำหรับการมีส่วนร่วมทั่วโลก และนี่คือสิ่งที่พวกเขาค้นพบเมื่อถูกถามถึงความท้าทายที่พวกเขากำลังเผชิญในตลาดโลกที่มีการแข่งขันอย่างขับเคี่ยว ผู้บริหารหลายคนได้กล่าวถึงการสื่อสารและความร่วมมือข้ามพรมแดนโดยเฉพาะร้อยละห้าสิบของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าความเข้าใจผิดในการสื่อสารเป็นอุปสรรคขัดขวางการเจรจาธุรกิจระหว่างประเทศของพวกเขา ซึ่งส่งผลให้เกิดการสูญเสียผลประโยชน์ทางการเงินสำหรับบริษัทของพวกเขา ผู้บริหารจำนวนหนึ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของความชัดเจนในการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม โดยยกให้สิ่งนี้สำคัญพอๆ กับผลประโยชน์ทางการเงินในขณะเดียวกัน 90 เปอร์เซ็นต์กล่าวว่าความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม (Intercultural Communication) จะเป็นประโยชน์ต่อรายได้ของบริษัทและส่วนแบ่งการตลาด และควรดำเนินการให้ความรู้พนักงานเกี่ยวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม มีเพียงร้อยละ 47 เท่านั้นที่กล่าวว่าบริษัทของพวกเขามีโครงการฝึกอบรมด้านการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม (Intercultural Communication) อยู่แล้วเห็นได้ชัดว่าความสามารถเชิงวัฒนธรรม (Intercultural...

คำถามสำคัญข้อหนึ่งในชีวิตของใครหลายคนคือ เราจะช่วยชะลอไม่ให้สมองแก่เร็วได้อย่างไร เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นและมีสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งโดยส่วนมาก การวิจัยมุ่งเน้นไปที่คุณลักษณะทางกายภาพมากกว่า เช่น การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย แต่ปัจจุบันนักวิจัยเริ่มหันมาโฟกัสไปที่กิจกรรมพัฒนาจิตใจมากขึ้น กิจกรรมหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถชะลออายุสมองไม่ให้แก่เร็วขึ้นได้คือความสามารถในการพูดหลายภาษานอกจากช่วยพัฒนาระบบการทำงานของสมองแล้ว การเรียนภาษาให้อะไรกับสมองเรามากกว่านั้น จากงานวิจัยพบว่ามันสามารถชะลอภาวะสมองเสื่อมและทำให้สมองตื่นตัวมากขึ้นงานวิจัยนี้ช่วยสร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับการเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้สูงอายุ นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากอายุขัยเฉลี่ยของผู้คนทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้คนมีอายุยืนยาวขึ้น จากคำถามว่าเราจะทำอย่างไรให้มีชีวิตยืนยาวขึ้นจึงเปลี่ยนไปเป็นว่าเราจะทำให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยืนยาวขึ้นได้อย่างไร การเรียนภาษาช่วยชะลออายุสมองได้อย่างไร? ตัวอย่างที่เด่นชัดมากสุดที่แสดงให้เห็นว่าการพูดได้สองภาษาสามารถช่วยชะลออายุสมองเราได้นั้นมาจากการศึกษาที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยเอดินบะระ (University of Edinburgh) งานวิจัยมุ่งเน้นไปที่เจ้าของภาษา 835 คนจากทั่วเมืองเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ ในปี ค.ศ. 1947 พวกเขาได้ให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบเชาว์ปัญญา โดย ณ เวลานั้นทั้งหมดมีอายุ 11 ปี และผู้เข้าร่วมกลุ่มเดียวกันนี้ได้รับการทดสอบสติปัญญาอีกครั้งระหว่างปี 2008 ถึง 2010 เมื่อพวกเขาทั้งหมดอยู่ในช่วงอายุ 70 ปีผลปรากฎว่ากลุ่มตัวอย่างที่สามารถพูดได้สองภาษาสามารถทำคะแนนได้มากกว่าในการทดสอบครั้งที่สอง...